เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2024 เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ปฎิบัติศาสนกิจต่อผู้สอนศาสนาและสมาชิกศาสนจักรพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในฮ่องกงและประเทศไทย พร้อมกับภรรยา ซิสเตอร์แฮร์เรียต อุคท์ดอร์ฟ และเอ็ลเดอร์โฮเซ เอ. เทียเซียรา แห่งฝ่ายประธานสาวกเจ็ดสิบ ท่านสอนผ่านการให้ข้อคิดทางวิญญาณและการประชุมผู้นำถึงข่าวสารแห่งการดลใจที่มุ่งเน้นเรื่องการให้ การเป็นผู้สอนศาสนาที่ประสบความสำเร็จ และการเบิกบานใจในพระกิตติคุณ
ฮ่องกง
เนื่องจากเอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟเคยบินมาฮ่องกงหลายครั้งตลอดช่วงการทำงานในฐานะนักบิน ท่านจึงซาบซึ้งใจอย่างยิ่งต่อเมืองและผู้คนที่นั่น ความทรงจำล้ำค่าที่สุดของท่านคือความมีน้ำใจที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของผู้คน เห็นได้จากโครงการการกุศล ตู้บริจาค Giving Machines ที่ท่านเปิดตัวไป ณ นิวทาวน์พลาซ่าเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน แคมเปญนี้ทำคุณประโยชน์ต่อองค์กรการกุศลห้าแห่งในท้องถิ่น และถือเป็นหลักชัยใหม่สำหรับการมีส่วนร่วมในชุมชนของศาสนจักรในฮ่องกง โดยยกระดับจิตวิญญาณของความรักและความเห็นอกเห็นใจแบบพระคริสต์ในหมู่ผู้อยู่อาศัยที่นั่น
“เราไม่ได้ให้เพราะคิดว่าเราร่ำรวยหรือเพราะเรามีความจริง แต่ ... เราให้เพราะเราแสดงความสำนึกคุณ เช่น แสดงความสำนึกคุณที่มีพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ด้วยการแบ่งปันกับผู้อื่น” เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟกล่าวในการประชุมพิเศษกับสมาชิกในเย็นวันนั้น “ข้าพเจ้าเกิดความคิดตอนที่อยู่ในงานเมื่อเช้านี้ว่า จริงๆ แล้วการให้ก็คือการแสดงความขอบคุณ”
โดนัลด์ ชู หนุ่มสาวโสดจากสเตคนิวเทอร์ริทอรีส์ ฮ่องกง ประเทศจีน ผู้เข้าร่วมการประชุมกล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมเรียนรู้ในการประชุมนี้คือวิธีแบ่งปันความรักของพระผู้เป็นเจ้ากับคนรอบข้าง … เราทุกคนมีหน้าที่แบ่งปันความรักของพระผู้เป็นเจ้าและช่วยให้คนมารู้จักพระกิตติคุณ”
เนื่องจากในปีนี้ศาสนจักรในฮ่องกงฉลองครบรอบ 75 ปี เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟกล่าวว่า “เราพูดถึงพวกท่านบ่อยมากในหมู่อัครสาวกสิบสองและฝ่ายประธานสูงสุดเพราะพวกท่านอยู่ในสถานที่ที่พิเศษมากในโลกนี้ หลายอย่างขึ้นอยู่กับว่าท่านเป็นใครและกำลังทำอะไรอยู่ อาจจะดูไม่เป็นเช่นนั้นในเวลานี้ แต่ท่านจะเห็นว่าอนาคตจะมีอิทธิพลอย่างมากเพราะท่าน และสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันนั่นเองที่จะสร้างความแตกต่างทั้งหมด”
กรุงเทพฯ
ในกรุงเทพฯ เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟเห็นความก้าวหน้าอย่างมากของศาสนจักรนับตั้งแต่การเดินทางมาปฏิบัติศาสนกิจของท่านเมื่อปี 2022 ท่านมาถึงพระวิหารกรุงเทพ ประเทศไทยในวันที่ 19 พฤศจิกายนหลังจากมีการอุทิศพระวิหารไปเมื่อปีที่ผ่านมา และจัดการประชุมที่อาคารเสริมกับคณะเผยแผ่ประเทศไทย กรุงเทพตะวันออกและกรุงเทพตะวันตก
ผู้สอนศาสนาคนหนึ่งที่เข้าร่วมการประชุม ซิสเตอร์ณัฐธิตา วงค์ศรีลา จากคณะเผยแผ่ประเทศไทย กรุงเทพตะวันออกแบ่งปันว่า “ดิฉันรู้สึกดีใจและ [สำนึกคุณ] มากๆ ที่ทั้งสองคณะเผยแผ่ได้มีโอกาสมาอยู่ในห้องประชุมเดียวกันในวันนี้ ทำให้ดิฉันได้เห็นถึงความก้าวหน้าของ [ศาสนจักรใน] ประเทศไทยมากยิ่งขึ้นในการเติบโต”
“เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟได้แบ่งปันเกี่ยวกับว่าจะเป็นผู้สอนศาสนาที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร และข้อกังวลของผู้สอนศาสนาหลายๆ ข้อ เช่น เกี่ยวกับครอบครัว ภาษา ว่าพระองค์ทรงช่วยเราในด้านเหล่านั้นได้อย่างไร” เอ็ลเดอร์ศรัญ ลัทธพลพากร จากคณะเผยแผ่ประเทศไทยกรุงเทพตะวันตกกล่าว
เช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน เป็นการกลับมาพบกันอย่างชื่นมื่นระหว่างเอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟและซิสเตอร์หลุยส์ ฮอร์แกน ผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือตนเองฟาติมา ณ คณะภคินีศรีชุมพาบาลกรุงเทพ ในการมาเยือนครั้งก่อน ทั้งสองท่านได้ทำความรู้จักและสานสัมพันธ์กันทันทีผ่านค่านิยมที่มีร่วมกันในด้านจิตวิญญาณและการรับใช้
“เหมือนได้พบกับเพื่อนเก่าที่รักกันมานาน แม้ดิฉันจะไม่เคยเจอหลายคนมาก่อน แต่ดิฉันประทับใจทุกคนจริงๆ นับเป็นช่วงเวลาที่มีค่าสำหรับเรามาก รู้สึกเหมือนได้พบพระผู้เป็นเจ้าในพวกเขาแต่ละคน”
เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟมอบเงินบริจาคอีกส่วนหนึ่งจากศาสนจักรแก่ซิสเตอร์ฮอร์แกนเพื่อซ่อมแซมหลังคาและต่อเติมกันสาดที่จำเป็นมากเพื่อปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกของศูนย์แห่งนี้ ศูนย์ดังกล่าวสนับสนุนการเรียนรู้ของสตรีและเด็กกลุ่มเสี่ยงให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น นับเป็นความร่วมมือครั้งที่สามระหว่างศาสนจักรกับศูนย์หลังจากจัดหาห้องครัวสำหรับการสอนและพื้นที่รับประทานอาหารสำหรับสตรีเมื่อปี 2022
ซิสเตอร์ฮอร์แกนสะท้อนความรู้สึกว่า “ตั้งแต่ศาสนจักรมาเยี่ยมครั้งแรกมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาทำให้เรามาแล้วมากมาย ... ความช่วยเหลือเริ่มขึ้นก่อนที่พวกเขาจะมาด้วยซ้ำ เหมือนปาฎิหาริย์เลยค่ะ! ดิฉันว่ามีเพียงคนที่อุทิศตนและ ... ใกล้ชิดกับพระคริสต์เท่านั้นที่ทำแบบนั้นให้เราได้”
นอกจากนี้ เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟยังได้แนะนำซิสเตอร์ฮอร์แกนให้รู้จักกับภรรยาของท่านและมอบรูปปั้นพระเยซูคริสต์ให้ด้วย เป็นรูปปั้นจำลองแบบเดียวกับที่เธอเคยไปเยี่ยมชมที่พระวิหารกรุงเทพ ประเทศไทยเมื่องานโอเพ่นเฮ้าส์ ครั้งนี้เธอได้พาคณะผู้มาเยือนเดินชมรอบๆ ศูนย์ของเธอด้วยเช่นกัน แต่ด้วยความประหลาดใจอย่างไม่คาดคิด: “เขาจูงมือดิฉันไปรอบๆ เหมือนเด็ก เหมือนพ่อกับลูกจูงมือกัน … ดิฉันไม่ได้พบความสวยงามเช่นนี้มานานแล้ว” เธอย้อนนึกถึง
ปิดท้ายการเดินทางปฏิบัติศาสนกิจในฮ่องกงและกรุงเทพฯ ด้วยการพบกับผู้นำในท้องที่ เอ็ลเดอร์อุคดอร์ฟเสริมสร้างความเข้มแข็งและสนับสนุนศาสนจักรที่กำลังเติบโตในเอเชีย ท่านสะท้อนความรู้สึกว่า “ประเทศไทยและทุกประเทศในเอเชียเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า – สมบัติล้ำค่าทางวิญญาณ ทางความรู้สึก ที่เป็นสมบัติส่วนตัวของจิตวิญญาณพวกเขา พระเจ้าประทานสิ่งเหล่านี้ให้เรา เมื่อเรามุ่งมั่นรักษาพระบัญญัติ จิตวิญญาณเหล่านั้นคือสมบัติล้ำค่า เป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีที่ได้อยู่ที่นี่”