ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้เป็นผู้พูดแทนพระองค์ เป็นครู ผู้เปิดเผย และพยานถึงความจริงพระกิตติคุณ ประธานศาสนจักรเป็นศาสดาพยากรณ์ เช่นเดียวกับอัครสาวก
อัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบันเป็นลักษณะเด่นของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย สมาชิกศาสนจักรมองว่าผู้นำอาวุโสของศาสนจักร—โจเซฟ สมิธ, บริคัม ยังก์ และประธานศาสนจักรต่อจากนั้น—เป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าแบบเดียวกับที่พวกเขามองอับราฮัม โมเสส อิสยาห์ และอัครสาวกในสมัยของพระเยซูคริสต์{nb}โธมัส เอส. มอนสันเป็นประธานและศาสดาพยากรณ์คนปัจจุบันของศาสนจักร
สมาชิกเชื่อว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นการฟื้นฟูศาสนจักรที่พระเยซูคริสต์ทรงสถาปนาไว้แต่แรกในช่วงพระชนม์ชีพมรรตัยของพระองค์ ส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูได้แก่ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่มีชีวิต
ควบคู่กับศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบันคือการเปิดเผยอย่างต่อเนื่องและพระคัมภีร์เพิ่มเติม{nb}คนทั่วไปอาจรู้จักโจเซฟ สมิธดีเพราะท่านแปล พระคัมภีร์มอรมอน: พยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์ และเพราะท่านวางรากฐานของศาสนจักรในศตวรรษที่ 19 ผู้ดำรงตำแหน่งประธานศาสนจักรต่อจากท่านได้ทำคุณประโยชน์ที่โดดเด่นนับแต่นั้นเป็นต้นมา
การเชื่อว่าศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกเป็นหัวหน้าของศาสนจักรมิได้หมายความว่าสมาชิกหลับหูหลับตาทำตามผู้นำของพวกเขา ขณะที่ศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการเปิดเผยและการดลใจเพื่อนำทางศาสนจักรโดยรวม การเปิดเผยหลั่งไหลมาทุกระดับ รวมไปถึงหัวหน้าของกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุม แต่ละครอบครัว และสมาชิกแต่ละคนเช่นกัน อันที่จริง ศาสนจักรคาดหวังให้สมาชิกแต่ละคนแสวงหาการนำทางเช่นนั้นเพื่อช่วยพวกเขาในชีวิต ในความรับผิดชอบในศาสนจักร และแม้กระทั่งในการแสวงหาทางโลก รวมไปถึงงานอาชีพของพวกเขาด้วย ศาสนจักรคาดหวังให้สมาชิกแสวงหา “ประจักษ์พยาน” หรือความเชื่อมั่นส่วนตัวร่วมกับการสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับหลักธรรมที่ผู้นำสอนพวกเขา