ข่าวเผยแพร่

เจ้าหน้าที่ศาสนจักรและผู้นำต่างศาสนาสร้างสะพานแห่งความร่วมมือและความสามัคคีทางศาสนา

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 สองผู้นำศาสนาระดับโลก ได้แก่ อันเดรีย มูนญอซ สปันเนาส์ ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานเยาวชนหญิงสามัญของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย และศาสตราจารย์ ดร.นาซารุดดิน อูมาร์ได้ประชุมกันที่มัสยิดอิสติกลัลในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อหารือและส่งเสริมความเข้าใจระหว่างศาสนา

ดร.อูมาร์ อิหม่ามใหญ่ประจำมัสยิด เน้นย้ำถึงความเป็นสากลของมนุษยชาติโดยกล่าวว่า “มนุษยชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีการแบ่งสี … เรากระตือรือร้นมากที่จะพบปะกับเพื่อนบ้านของเรา ไม่ใช่เพียงกับชาวคาทอลิกและโปรเตสแตนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงชาวฮินดูและชาวพุทธด้วย … เราเชื้อเชิญให้พวกเขามาที่นี่ สำหรับผมแล้ว มัสยิดแห่งนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับพี่น้องชาวมุสลิมเท่านั้น ทุกคนสามารถเข้ามาที่มัสยิดอิสติกลัลได้ เพราะที่นี่คือบ้านหลังใหญ่แห่งสันติภาพและยังเป็นบ้านหลังใหญ่ของมนุษยชาติด้วย”

มิตรภาพระหว่างอิหม่ามใหญ่และศาสนจักรเกิดขึ้นเมื่อเอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟเยือนกรุงจาการ์ตาเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2022 ต่อมาภายหลังท่านได้เข้าร่วมเป็นวิทยากรหลักในการประชุมด้านกฎหมายและศาสนาระหว่างประเทศประจำปีครั้งที่ 30 ณ มหาวิทยาลัยบริคัมยังก์

ทั้งอิหม่ามใหญ่และซิสเตอร์สปันเนาส์ต่างเป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งเพื่อความสามัคคีระหว่างศาสนา ในระหว่างการเยี่ยมชมมัสยิดของเธอ อิหม่ามใหญ่ได้นำเธอเข้าชม Tunnel of Tolerance (อุโมงค์แห่งความอดกลั้น) ซึ่งเป็นทางเดินใต้ดินยาว 28.3 เมตรที่เชื่อมระหว่างมัสยิดอิสติกลัล ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาสนวิหารพระแม่แห่งอัสสัมชัญในกรุงจาการ์ตา อุโมงค์นี้เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความสามัคคีที่มีร่วมกันระหว่างชุมชนในประเทศอินโดนีเซีย

Indonesia_Tunnel-of-Friendship.jpgDownload Photo

“ดิฉันคิดว่าความอดกลั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในเวลานี้ และเราสามารถค้นหาความรักที่มีให้กับผู้อื่น”   ซิสเตอร์สปันเนาส์กล่าว  “เราสามารถรักกันและกัน เราสามารถมีความอดทนอดกลั้นนี้ และสามารถทำงานร่วมกันในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา นั่นคือความสามัคคีในครอบครัว โครงการด้านมนุษยธรรม  สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สังคมดีขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้คน”

ซิสเตอร์สปันเนาส์ยังได้รับเกียรติให้พบกับนางเอลลา นูร์ยามาห์ เลขาธิการใหญ่พร้อมด้วยผู้นำสตรีคนอื่นๆ จาก ฟาทายัต องค์กรเยาวชนหญิงภายใต้องค์กรนาฮ์ดลาตุล อูลามะ (Nahdlatul Ulama: NU) ซึ่งเป็นองค์กรมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย องค์กรนี้มีสมาชิกมากกว่าหนึ่งร้อยล้านคนทั่วโลก พวกเธอหารือกันถึงความจำเป็นในการร่วมมือกันในโครงการด้านมนุษยธรรมและโครงการอื่นๆ เพื่อเป็นพรแก่ชีวิตของสตรี เด็ก และครอบครัว

Indonesia_Women-Interfaith-Leaders.jpgDownload Photo

“เราตระหนักว่าเรามีหลายสิ่งที่เหมือนกันระหว่างเราสองคน และสิ่งสำคัญคือเรารักผู้คนและเราอยากช่วยเหลือ” เธอกล่าว

นอกเหนือจากการพบปะกับผู้นำต่างศาสนาแล้ว ซิสเตอร์สปันเนาส์ยังได้ปฏิบัติศาสนกิจต่อสมาชิกและผู้สอนศาสนาของศาสนจักรในลาฮอร์ ปากีสถาน, โคลัมโบ ศรีลังกา, จาการ์ตา อินโดนีเซีย และอุบลราชธานี ประเทศไทย ซิสเตอร์สปันเนาส์เดินทางร่วมกับสามีของเธอ บราเดอร์อาลิน และฝ่ายประธานภาคเอเชียพร้อมด้วยภรรยาตลอดระยะเวลา 10 วันในการเดินทางนี้

ซิสเตอร์สปันเนาส์น้อมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความอบอุ่นจากผู้คนที่เธอพบเจอบนแผ่นดินที่ไม่คุ้นเคยแต่เป็นมิตรนี้ เธอยังได้ขยายการปฏิบัติศาสนกิจของเธอออกไปยังสมาชิกและผู้สอนศาสนาผ่านการให้ข้อคิดทางวิญญาณ การสนทนากลุ่ม และการประชุมต่างๆ โดยการสร้างความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง

ในขณะที่ศาสนจักรกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศเหล่านี้ การมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเองของเจ้าหน้าที่ระดับสามัญอย่างซิสเตอร์สปันเนาส์ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก ทำให้การมาเยือนของเธอเป็นโอกาสอันมีค่าสำหรับสมาชิกศาสนจักรและผู้สอนศาสนาที่แสวงหาการนำทางและการดลใจ หลายคนต้องเดินทางนานถึงแปดชั่วโมงในแต่ละเที่ยวเพื่อมาดื่มด่ำกับคำสอนของเธอ

“สมาชิกของศาสนจักรที่นี่คือผู้บุกเบิก …  พวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอุทิศตน ความมานะอุตสาหะ และความรักต่อพระผู้เป็นเจ้า ดิฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นคุณสมบัติเหล่านี้ในตัวพวกเขา”  ซิสเตอร์สปันเนาส์กล่าว

อาบีรา อาริฟ โคคาร์ สมาชิกหนุ่มสาวโสดจากลาฮอร์กล่าวว่า ข่าวสารที่ซิสเตอร์สปันเนาส์แบ่งปันเชื่อมโยงกับเธอทางจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก

“เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันได้ไตร่ตรองถึงศรัทธาของฉันและทำให้เข้าใจเกี่ยวกับพระกิตติคุณอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพื่อทำเช่นนั้น ฉันวางแผนที่จะขยันอ่านพระคัมภีร์มากขึ้น” เธอกล่าว

สวิธนา เสนานายาเก ผู้มุ่งหวังจะเป็นผู้สอนศาสนาจากสาขาโคลัมโบรู้สึกตื่นเต้นและสัมผัสได้ถึงความงดงามของการรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาขณะที่ซิสเตอร์สปันเนาส์พูดในการประชุมการให้ข้อคิดทางวิญญาณ

“ฉันอยากเป็นผู้สอนศาสนาที่เชื่อฟัง ทุ่มเทตนเองให้กับงานรับใช้ มอบความไว้วางใจของฉันไว้ในพระผู้ช่วยให้รอด และพึ่งพาพระองค์อยู่เสมอ” เธอกล่าว “ฉันรู้ว่าหากฉันหันความสนใจไปที่พระผู้เป็นเจ้า รับใช้พระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของฉัน ฉันจะไม่มีวันหลงทาง แต่ฉันจะได้รับพรในชีวิต”

ซิสเตอร์สปันเนาส์กล่าวว่า ที่สำนักงานใหญ่ของศาสนจักรในซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์ เธอและผู้นำท่านอื่นๆ หารือกันเป็นประจำเกี่ยวกับการสนับสนุนและนำทางคนรุ่นใหม่ แม้ว่าการวางแผนเชิงกลยุทธ์เหล่านี้จะวางรากฐานสำหรับการปรับปรุงโปรแกรม ของศาสนจักร เธอกล่าวว่า เป็นประสบการณ์ลึกล้ำในการมีส่วนร่วมโดยตรงกับที่ประชุมที่หลากหลายทั่วโลก เหมือนกับ การเยือนปฏิบัติศาสนกิจครั้งนี้ ซึ่งให้มุมมองเชิงลึกอันล้ำค่าเกี่ยวกับความต้องการและความเข้มแข็งของสมาชิกในท้องที่ ซึ่งจะกำหนดแนวทางริเริ่มที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับอนาคต

เพื่อปิดท้ายการปฏิบัติศาสนกิจของเธอ ซิสเตอร์สปันเนาส์มอบข้อคิดสามข้อให้กับผู้ฟังของเธอ:

“ข้อที่หนึ่งคือศีลระลึก ความสำคัญของการไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์และการต่อพันธสัญญา

“ข้อถัดมา ดิฉันอยากให้พวกเขารู้ว่ามันคุ้มค่าที่จะเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ เราสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงจิตใจ และปฏิรูปชีวิตของพวกเราด้วยการเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ทีละเล็กทีละน้อย  ทุกสิ่งที่เราสามารถทำได้ล้วนคุ้มค่า”

“ข้อที่สามคือพระผู้เป็นเจ้าจะทรงร่วมสู้รบกับเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเราเสมอ พระองค์ทรงอยู่ที่นี่กับเรา”

หมายเหตุแนวทางการเขียน:เมื่อรายงานเกี่ยวกับศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย โปรดใช้ชื่อเต็มของศาสนจักรในการอ้างถึงครั้งแรก ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ชื่อของศาสนจักร ไปที่ออนไลน์แนวทางการเขียน.